วันที่ 2009-10-14 10:22:03
(ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
ก.พลังงาน เร่งชี้แจงหลังแหล่งบงกชหยุดผลิตก๊าซ ชี้พบความสึกกร่อนของระบบท่อส่งก๊าซ ยันพร้อมระดมแนวทางหาแหล่งพลังงานชดเชย ป้องกันการขาดแคลนก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้า
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามการบริหารเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า เหตุการณ์การหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบงกชเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการตรวจสอบระบบปกติตามมาตรฐานที่แหล่งบงกช ซึ่งพบว่าส่วนของท่อส่งก๊าซฯ ที่อยู่ระหว่างวาล์วมีการสึกกร่อน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการหยุดผลิตก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวไว้ก่อนเพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติหายไปจากระบบประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขสถานการณ์การขาดแคลนก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้าอย่างทันท่วงที คณะทำงานติดตามการบริหารเชื้อเพลิงที่ประกอบด้วย กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) บริษัท ปตท.สผ. จำกัด(มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) และบริษัท บีแอลซีพี จึงได้ร่วมหารือและมีแนวทางเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขโดยดำเนินการ ดังนี้
มอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ประสานกับผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งในประเทศ ในปริมาณ 310 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งประกอบด้วย แหล่ง U123 ของบริษัท เชฟรอน เพิ่มขึ้น 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยเพิ่มจากการผลิตเดิม 930 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 1,030 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
แหล่งเบญจมาศ ของบริษัทเชฟรอน เช่นกัน ให้เพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือเพิ่มจากเดิมผลิต 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 170 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และให้เร่งการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งอาทิตย์เหนือ ของปตท.สผ. เข้าสู่ระบบโดยเร็วที่สุดในปริมาณ 140 ลูกบาศก์ฟุต/วัน
รวมทั้งยังมอบหมายให้ ปตท. เป็นฝ่ายจัดหาน้ำมันเตาเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ปริมาณรวม 38 ล้านลิตร และให้กรมธุรกิจพลังงานออกประกาศเพื่อห้ามการส่งออกน้ำมันเตาที่มีสัดส่วนกำมะถัน 0.5% พร้อมกันนี้ได้ให้ กฟผ. รับซื้อน้ำมันเตาจาก บางจาก ในปริมาณ 30 ล้านลิตร สำหรับใช้ที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ พร้อมกับให้เจรจากับบริษัทราชบุรีผลิตไฟฟ้าให้เลื่อนการซ่อมบำรุงใหญ่ออกไปอีก 18 วัน
ซึ่งทั้งหมดได้รับการตอบรับ และร่วมมือเป็นอย่างดี นอกจากนี้ คณะทำงาน ฯ ยังได้ขอให้ บีแอลซีพี เจรจากับผู้รับเหมาจากต่างประเทศเพื่อเลื่อนการซ่อมบำรุงใหญ่ออกไปก่อนที่จะเริ่มในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 นี้ด้วย ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จจะทำให้ลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึงวันละ 3 ล้านลิตร
นายสมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือสทน. กล่าวว่า กรณีการซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซ ฯ ดังกล่าว แม้ภาครัฐ จะได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีแล้ว
แต่การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ยังมีความเสี่ยงด้านอื่นๆ อยู่ รวมทั้งความเสี่ยงด้านที่แหล่งก๊าซฯ จะหมดไปในอีกไม่กี่ปี โดยแนวทางลดผลกระทบดังกล่าว การพัฒนาพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานนิวเคลียร์ น่าจะเป็นทางออกหนึ่ง
เพราะประเทศไทย ได้มีความพร้อมในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์มาตั้งแต่ปี 2510 หรือกว่า 40 ปีมาแล้ว ซึ่งได้ริเริ่มพร้อมกับประเทศเกาหลี และใต้หวัน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศได้พัฒนาไปไกลแล้ว นอกจากนี้ด้านบุคลากรในประเทศไทยก็ได้มีความพร้อมในการดำเนินการแล้วเช่นกัน (ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
(ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
ก.พลังงาน เร่งชี้แจงหลังแหล่งบงกชหยุดผลิตก๊าซ ชี้พบความสึกกร่อนของระบบท่อส่งก๊าซ ยันพร้อมระดมแนวทางหาแหล่งพลังงานชดเชย ป้องกันการขาดแคลนก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้า
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามการบริหารเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า เหตุการณ์การหยุดผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบงกชเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการตรวจสอบระบบปกติตามมาตรฐานที่แหล่งบงกช ซึ่งพบว่าส่วนของท่อส่งก๊าซฯ ที่อยู่ระหว่างวาล์วมีการสึกกร่อน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการหยุดผลิตก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวไว้ก่อนเพื่อซ่อมแซม ส่งผลให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติหายไปจากระบบประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขสถานการณ์การขาดแคลนก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้าอย่างทันท่วงที คณะทำงานติดตามการบริหารเชื้อเพลิงที่ประกอบด้วย กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) บริษัท ปตท.สผ. จำกัด(มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) และบริษัท บีแอลซีพี จึงได้ร่วมหารือและมีแนวทางเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขโดยดำเนินการ ดังนี้
มอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ประสานกับผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งในประเทศ ในปริมาณ 310 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งประกอบด้วย แหล่ง U123 ของบริษัท เชฟรอน เพิ่มขึ้น 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยเพิ่มจากการผลิตเดิม 930 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 1,030 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
แหล่งเบญจมาศ ของบริษัทเชฟรอน เช่นกัน ให้เพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือเพิ่มจากเดิมผลิต 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เป็น 170 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และให้เร่งการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งอาทิตย์เหนือ ของปตท.สผ. เข้าสู่ระบบโดยเร็วที่สุดในปริมาณ 140 ลูกบาศก์ฟุต/วัน
รวมทั้งยังมอบหมายให้ ปตท. เป็นฝ่ายจัดหาน้ำมันเตาเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว ปริมาณรวม 38 ล้านลิตร และให้กรมธุรกิจพลังงานออกประกาศเพื่อห้ามการส่งออกน้ำมันเตาที่มีสัดส่วนกำมะถัน 0.5% พร้อมกันนี้ได้ให้ กฟผ. รับซื้อน้ำมันเตาจาก บางจาก ในปริมาณ 30 ล้านลิตร สำหรับใช้ที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ พร้อมกับให้เจรจากับบริษัทราชบุรีผลิตไฟฟ้าให้เลื่อนการซ่อมบำรุงใหญ่ออกไปอีก 18 วัน
ซึ่งทั้งหมดได้รับการตอบรับ และร่วมมือเป็นอย่างดี นอกจากนี้ คณะทำงาน ฯ ยังได้ขอให้ บีแอลซีพี เจรจากับผู้รับเหมาจากต่างประเทศเพื่อเลื่อนการซ่อมบำรุงใหญ่ออกไปก่อนที่จะเริ่มในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 นี้ด้วย ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จจะทำให้ลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึงวันละ 3 ล้านลิตร
นายสมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือสทน. กล่าวว่า กรณีการซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซ ฯ ดังกล่าว แม้ภาครัฐ จะได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีแล้ว
แต่การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ยังมีความเสี่ยงด้านอื่นๆ อยู่ รวมทั้งความเสี่ยงด้านที่แหล่งก๊าซฯ จะหมดไปในอีกไม่กี่ปี โดยแนวทางลดผลกระทบดังกล่าว การพัฒนาพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานนิวเคลียร์ น่าจะเป็นทางออกหนึ่ง
เพราะประเทศไทย ได้มีความพร้อมในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์มาตั้งแต่ปี 2510 หรือกว่า 40 ปีมาแล้ว ซึ่งได้ริเริ่มพร้อมกับประเทศเกาหลี และใต้หวัน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศได้พัฒนาไปไกลแล้ว นอกจากนี้ด้านบุคลากรในประเทศไทยก็ได้มีความพร้อมในการดำเนินการแล้วเช่นกัน (ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)