Shagang ลดราคาเหล็กลงต่อ - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], Steel

Tuesday, March 3, 2009 at 7:33 PM

Shagang ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของจีน ได้ประกาศตัดลดราคาเหล็กก่อสร้างลงอีก 15-20 เหรียญต่อตัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม โดยหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ Shagang ก็เคยลดราคาเหล็กเส้นและเหล็กลวดลงไปแล้ว 45-48 เหรียญต่อตัน สุดท้ายแล้ว ทำให้เหล็กเส้น HRB335 ขนาด 16-25 มม ถูกตั้งราคาไว้ที่ 518 เหรียญต่อตัน และ 525 เหรียญต่อตัน สำหรับเหล็กลวดขนาด 6.5 มม...
Credit: Itr.se-ed.com
(http://www.isit.or.th/th/multicms/popup_detail.php?id=4459)
Shagang ลดราคาเหล็กลงต่อ - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], เหล็ก [Steel]
Credit: Itr.se-ed.com
(http://www.isit.or.th/th/multicms/popup_detail.php?id=4459)
1 มีนาคม ( 2009-03-03 )
[สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย]

Shagang ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของจีน ได้ประกาศตัดลดราคาเหล็กก่อสร้างลงอีก 15-20 เหรียญต่อตัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม โดยหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ Shagang ก็เคยลดราคาเหล็กเส้นและเหล็กลวดลงไปแล้ว 45-48 เหรียญต่อตัน สุดท้ายแล้ว ทำให้เหล็กเส้น HRB335 ขนาด 16-25 มม ถูกตั้งราคาไว้ที่ 518 เหรียญต่อตัน และ 525 เหรียญต่อตัน สำหรับเหล็กลวดขนาด 6.5 มม

(http://www.isit.or.th/th/multicms/popup_detail.php?id=4459)

อาเซียนเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นรับมือวิกฤติศก. สร้างความมั่นคงอาหาร-พลังงาน - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News]

at 6:31 PM

นาย อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงหลัง ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศได้ลงนามในปฎิญาชะอำ-หัวหินว่าด้วยแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน ปี 2009-2015 ซึ่งประกอบด้วย ประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม. นอก จากนี้ได้มอบหมายให้รัฐมนตรี และเลขาธิการอาเซียนหาลู่ทางและยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ขับเคลื่อนทรัพยากร ต่างๆจากรัฐสมาชิก ประเทศคู่เจรจาเฉพาะด้านเพื่อการพัฒนาของอาเซียนและทำให้ปฏิญาชะอำ-หัวหิน...
Credit: Itr.se-ed.com
(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5592§ion=1&rcount=Y)
อาเซียนเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นรับมือวิกฤติศก. สร้างความมั่นคงอาหาร-พลังงาน - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], อุตสาหกรรม [Industrial]
Credit: Itr.se-ed.com
(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5592§ion=1&rcount=Y)
โดย ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอม วันที่ 2009-03-02 23:04:42

นาย อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงหลัง ผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศได้ลงนามในปฎิญาชะอำ-หัวหินว่าด้วยแผนงานสำหรับประชาคมอาเซียน ปี 2009-2015 ซึ่งประกอบด้วย ประชาคมการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม.

นอก จากนี้ได้มอบหมายให้รัฐมนตรี และเลขาธิการอาเซียนหาลู่ทางและยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ขับเคลื่อนทรัพยากร ต่างๆจากรัฐสมาชิก ประเทศคู่เจรจาเฉพาะด้านเพื่อการพัฒนาของอาเซียนและทำให้ปฏิญาชะอำ-หัวหิน ฉบับนี้เกิดประสิทธิผลทางการและยั่งยืน
.

ใน การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 14 ได้มีการหารือเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลก โดยผู้นำทั้ง 10 ประเทศมีความเห็นตรงกันที่จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเชิงรุกและเด็ดขาดในการ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดและความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งผู้นำยินดีที่จะดำเนินนโยบายมหภาครวมถึงมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรน การปล่อยสินเชื่อเพื่อการค้าโดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อ กระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ
.

นอก จากนี้ยังยืนยันความตั้งใจที่จะเพิ่มการไหลเวียนของสินค้าบริการและการลงทุน อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจของผู้ประกอบการและการไหลเวียน จองทุนให้เสรียิ่งขึ้น
.

ขณะ ที่ผู้นำอาเซียน ต่อต้านนโยบายการปกป้องการค้าและละเว้นการกำหนดมาตรการการกีดกันการค้าใหม่ๆ พร้อมสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อพัฒนารอบโดฮาให้เกิดผล
.

นาย อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมผูนำอาเซียนได้ชื่นชมรมว.คลังอาเซียนบวก 3 ต่อการประชุมรมว.คลังบวก 3 ที่ให้เพิ่มขนาดกองทุนสำรองพหภาคีภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่จาก 8 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.2 แสนล้านดอลลร์ รวมถึงตระหนักความร่วมมือในภูมิถาคที่จำเป็นต้องมีการขยายเพื่อระดมเงินออม สำหรับการลงทุนในสาขาที่มีประสิทธิผลโดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ ผู้นำยินดีกับแผนงานการพัฒนามาตรการริเริ่มเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย ฉบับใหม่
.

นอก จากนี้ ผู้นำก็ได้ขอให้รมว.คลังอาเซียนจัดเตรียมประเด็นเพิ่มเติมสำหรับประธานอา เซียนในฐานสมาชิก จี 20 เพื่อนำไปแจ้งต่อที่ประชุมสุดยอด จี 20 ที่กรุงลอนดอน
.

ทาง ด้านความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน กลุ่มผู้นำอาเซียนได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะกระชับความร่ทวมมือเพื่อเสริมสร้าง ความมั่นคงทางด้านอาหาร ทั้งภาคการผลิตและการจัดจำหน่าย โดยจะมีการจัดตั้งกองทุนสำรองข้าวของกลุ่มอาเซียนกับประเทศบวก สาม เพื่อเป็นกลไกถาวรในภูมิภาคต่อไป
.

ส่วน ด้านพลังงาน ได้เน้นกระชับความร่วมมือในพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก รวมทั้งเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยเห็นว่าจำเป็นต้องส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนร่วมกับพลังงานอื่นในสัด ส่วนที่มากขึ้น และเรียกร้องให้รมว.พลังงานอาเซียนกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณของพลังงานทดแทน ร่วม

(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5592§ion=1&rcount=Y)

บูลมานน์ เทรดดิ้งท่ออุตสาหกรรมชั้นนำเมืองเบียร์ อัดงบกว่า 40 - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News]

at 4:28 PM

บูลมานน์ (ประเทศไทย) อัดงบกว่า 400 ล้านบาท รุกขยายสาขา พร้อมให้บริการแบบครบวงจรครั้งแรกในเมืองไทย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 250 ล้านบาท หวังเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ Direct Marketing พร้อมเน้นการบริการแบบ One Stop Service โชว์ ศักยภาพ การให้บริการแบบครบวงจร รวดเร็วฉับไว ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยคุณภาพสินค้ามาตรฐานระดับสากล พร้อมคำแนะนำจากทีมงานมืออาชีพ ตั้งเป้ายอดขาย 250 ล้านบาท เน้นบริการแบบ One Stop Service"...
Credit: Itr.se-ed.com
(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5593§ion=25&rcount=Y)
บูลมานน์ เทรดดิ้งท่ออุตสาหกรรมชั้นนำเมืองเบียร์ อัดงบกว่า 40 - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], อุตสาหกรรม [Industrial]
Credit: Itr.se-ed.com
(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5593§ion=25&rcount=Y)
โดย ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอม วันที่ 2009-03-02 23:19:48

บูลมานน์ (ประเทศไทย) อัดงบกว่า 400 ล้านบาท รุกขยายสาขา พร้อมให้บริการแบบครบวงจรครั้งแรกในเมืองไทย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 250 ล้านบาท หวังเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ Direct Marketing พร้อมเน้นการบริการแบบ One Stop Service โชว์ ศักยภาพ การให้บริการแบบครบวงจร รวดเร็วฉับไว ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยคุณภาพสินค้ามาตรฐานระดับสากล พร้อมคำแนะนำจากทีมงานมืออาชีพ ตั้งเป้ายอดขาย 250 ล้านบาท เน้นบริการแบบ One Stop Service"
.

บริษัท บูลมานน์ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในสาขาของกลุ่มบริษัทบูลมานน์เทรดดิ้ง แห่งวงการธุรกิจท่ออุตสาหกรรมชั้นนำจากประเทศเยอรมัน อัดงบกว่า 400 ล้านบาท รุกขยายสาขา พร้อมให้บริการแบบครบวงจรครั้งแรกในเมืองไทย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 250 ล้านบาท หวังเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ Direct Marketing พร้อมเน้นการบริการแบบ One Stop Service โชว์ ศักยภาพ การให้บริการแบบครบวงจร รวดเร็วฉับไว ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยคุณภาพสินค้ามาตรฐานระดับสากล พร้อมคำแนะนำจากทีมงานมืออาชีพ
.

นายเอกพจน์ ศรีสุธาพรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บูลมานน์ (ประเทศไทย) จำกัด (Managing Director of Buhlmann ( ) Ltd. กล่าวว่า “กลุ่ม บริษัทบูลมานน์ ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท่อเหล็ก ท่อลำเลียง และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ หลากหลายประเภทและมีวัสดุให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ท่อเหล็กคาร์บอนธรรมดา (Carboon Steel) ไปจนถึงท่อเหล็กกล้าผสมสูงไร้สนิม ( High-alloy stainless steel)
.

มี สาขาครอบคลุมทั่วโลกกว่า 18 สาขา อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี สิงคโปร์ จีน เป็นต้น และสำหรับสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่กำลังเกิดวิกฤตการณ์ทำให้มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้หลายธุรกิจมีการชะลอการลงทุน แต่สำหรับกลุ่มบริษัทบูลมานน์กลับมองว่าการชะลอตัวของวงการธุรกิจใน
.

ขณะ นี้ ถือเป็นช่องทางหนึ่งในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเป็นที่ควรจะลงทุนในระยะนี้ และเล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในหลายๆ ด้านเหมาะสำหรับการลงทุนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย บริษัทฯจึงได้ทุ่มงบการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เปิดบริษัท บูลมานน์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นสาขาในประเทศไทย
.

โดยตั้งเป้าการขาย ปี 2552 ไว้ที่ 250 ล้านบาท รุกตลาดเมืองไทยด้วยวิธีการแบบเข้าถึงลูกค้า บริการแบบฉับไว ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ Direct Marketing เน้นคุณภาพผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับสากล ด้วยคลังสินค้ามาตรฐานครบวงจร เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า โดยมีสินค้าหลากหลาย อาทิ Boiler Tubes , Elbows, Tees , Reducers, Caps, Stainless Steel Flanges เป็นต้น
.

ผลิตภัณฑ์ แนะนำของบริษัทฯ ได้แก่ 3 Seamless Pipes , Seamless / Welded Stainless Steel Tubes and Pipes รวมไปถึงอุปกรณ์ประกอบต่างๆ Fittings / Flanges ที่ได้มาตรฐาน ASTM, DIN และEN 4 Seamless / Welded Carbon Steel Tubes and Pipes
.

5 ผลิตภัณฑ์ ทั้งท่อเหล็กกล้าและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ Steel Tube & Pipe , Steel Tube Fitting / Flanges ไปจนถึง High-Alloy Stainless Steel
.

ในด้านการบริการบริษัทฯ เน้นการบริการแบบ One Stop Service แบบ ครบวงจร รวดเร็วฉับไว ปลอดภัย รับประกันคุณภาพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้คำแนะนำแนวทางการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมเป็นที่ปรึกษาปัญหาต่างๆเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าทั่วไปอีกด้วย ด้วยทีมงานมืออาชีพทั้งก่อนและหลังการขายอย่างฉับพลัน สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2643-0235-8 หรือ http://www.buhlmann.de
.

ของ พลังงาน โรงไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี ที่เราให้การบริการ โดยมีคลังสินค้าชั่วคราวครบวงจรอยู่ที่จังหวัดระยอง และกำลังดำเนินการสร้างคลังสินค้า เพื่อเป็น Complex ที่ มีความทันสมัยครบวงจร มาตรฐานระดับโลก เพื่อเป็นคลังสินค้าของบริษัทฯ ที่จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2553 ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศและภูมิภาคใกล้เคียง อาทิ เวียดนาม พม่า ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ผมมั่นใจว่าทีมบูลมานน์ พร้อมที่จะให้บริการ และตอบรับทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มความสามารถ ” นายเอกพจน์กล่าวในที่สุด

(http://itr.se-ed.com/home/news_preview.php?id=5593§ion=25&rcount=Y)

จับชีพจร 3 รถหรูเยอรมันซุ่มทัพรถใหม่รุกตลาดเฉพาะกลุ่ม - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], Car

at 3:41 AM

ในปี 2551 ตลาดรถยนต์หรู หรือ premium car มียอดขายประมาณ 7,000 คัน นำตลาดโดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ 56% ตามห่างบีเอ็มดับเบิลยู 25% และวอลโว่ 13% ตลาด พรีเมียม คาร์ เคยมียุครุ่งเรืองในไทยด้วยตัวเลข 1.4 หมื่นคัน แต่หลังจากประสบวิกฤติเศรษฐกิจรอบที่แล้ว ตลาดก็หดตัวลง และจากนั้นก็ไม่เคยปรับตัวขึ้นถึงระดับ 1 หมื่นคัน อย่างไรก็ตาม นับว่ามันเป็นการคัดเลือกตลาดให้เหลือแต่ผู้ที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลัง ซื้ออย่างแท้จริงส่วนสถานการณ์ในปีนี้...
Credit: Bangkokbiznews.com
(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20090302/20773/จับชีพจร-3-รถหรูเยอรมันซุ่มทัพรถใหม่รุกตลาดเฉพาะกลุ่ม.html)
จับชีพจร 3 รถหรูเยอรมันซุ่มทัพรถใหม่รุกตลาดเฉพาะกลุ่ม - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News], รถยนต์ [Car]
Credit: Bangkokbiznews.com
(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20090302/20773/จับชีพจร-3-รถหรูเยอรมันซุ่มทัพรถใหม่รุกตลาดเฉพาะกลุ่ม.html)
วันที่ 2 มีนาคม 2552 07:52
โดย : สินธุ์ชัย ภมรพล

ในปี 2551 ตลาดรถยนต์หรู หรือ premium car มียอดขายประมาณ 7,000 คัน นำตลาดโดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ 56% ตามห่างบีเอ็มดับเบิลยู 25% และวอลโว่ 13%

ตลาด พรีเมียม คาร์ เคยมียุครุ่งเรืองในไทยด้วยตัวเลข 1.4 หมื่นคัน แต่หลังจากประสบวิกฤติเศรษฐกิจรอบที่แล้ว ตลาดก็หดตัวลง และจากนั้นก็ไม่เคยปรับตัวขึ้นถึงระดับ 1 หมื่นคัน อย่างไรก็ตาม นับว่ามันเป็นการคัดเลือกตลาดให้เหลือแต่ผู้ที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลัง ซื้ออย่างแท้จริง

ส่วนสถานการณ์ในปีนี้ คาร์ล รูดิเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มั่นใจว่าตลาดอาจจะไม่ถดถอยจากปีที่ผ่านมา แต่ถ้าหากว่าจะลดลงจริงๆ ก็จะลดลงในอัตราส่วนที่ไม่มากนัก แน่นอนว่าน้อยกว่าการหดตัวของตลาดรวม เหตุผลก็คือ จากข้อมูลของคนไทย พบว่ามีผู้ที่จัดอยู่ในระดับเศรษฐีอยู่จำนวนมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจมากนัก

นอกจากนี้ก็ ยังเชื่อมั่นว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีแง่มุมบวกอยู่ บ้าง นั่นคือ สถาบันการเงินไทยมีความแข็งแกร่ง ต่างจากวิกฤติปี 2539-2540 และที่สำคัญก็คือ กลุ่มลูกค้ารถพรีเมียมในยุคนั้นก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืน การล้ม หรือ อ่อนแรงของสถาบันการเงินจำนวนมาก

รูดิเกอร์ กล่าวว่า การที่ตลาดชะลอตัวลง ในช่วงเดือนม.ค. ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ไม่ได้เป็นเพราะฐานลูกค้าลดลง เพราะจากการติดตามดูพบว่าจำนวนผู้สนใจรถไม่ได้น้อยลง แต่ปัญหาหลักมาจากปัจจัยที่หลายๆ คน คิดเหมือนกันมาระยะหนึ่งแล้ว นั่นคือ ความมั่นใจในการใช้เงิน หรือการรีรอตัดสินใจที่จะใช้จ่ายเงิน

ดัง นั้นทางออกของผู้ประกอบการก็คือ จะต้องคิดหาวิธีการที่จะเร่งการใช้จ่ายเงินอย่างไรให้เป็นผลสำเร็จ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายรูปแบบต่างๆ ซึ่งในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยูจะใช้วิธีเจาะตรงถึงตัว

บีเอ็มดับเบิลยูลุยรถใหม่
ดูเหมือนว่าบีเอ็มดับเบิลยูจะ มั่นใจว่าตลาดยังมีช่องว่างอยู่จริง เพราะยังคงเดินหน้าเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก 120d คูเป้ จากนั้นจะตามมาด้วยรหัสที่หรูที่สุด คือ ซีรีส์ 7 ใหม่ ทั้ง 750Li ตัวท็อปสุด และ 740Li ซึ่งขณะนี้เริ่มปูพรมการตลาด ด้วยการห่อตึกใบหยกด้วยข้อความ 7 Series 7 Heaven และอีกรุ่นหนึ่งที่ยืนยันแน่นอนแล้วตอนนี้ก็คือ โรดสเตอร์ แซด 4 รถที่กำลังได้รับความสนใจอย่างสูงในตลาดโลก แต่ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และคาดกันว่า มันจะเป็นตัวประกบติด เอสแอลเค ของคู่แข่งสำคัญอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์

ความจริงแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ได้เริ่มสร้างสีสันการตลาดในปีนี้ แต่เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการนำเข้ารถรุ่นพิเศษต่างๆ ที่มียอดขายเฉพาะกลุ่มเล็กเข้ามาทำตลาด เช่น ตระกูลเอ็ม เปิดประทุน ซึ่งแผนการตลาดเชิงรุกก็ตอบแทนด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้น 28% ในปีที่ผ่านมา

อีก หนึ่งความสำเร็จก็คือ การทำตลาดรถดีเซล ซึ่งจะเห็นว่า บีเอ็มดับเบิลยู แม้จะเริ่มต้นดีเซลทีหลังหลายๆ ค่าย แต่เมื่อเริ่มแล้ว กลับมีความหลากหลายที่มากกว่า ปัจจุบัน เครื่องยนต์ดีเซล ถูกวางใน ซีรีส์ 1,3,5, คูเป้ เอ็กซ์ 3 เอ็กซ์ 5 และหากมองให้ลึกไปกว่านั้นต้องยกความดีความชอบให้ทีมวิศวกรเครื่องยนต์ที่ สามารถทำให้เครื่องยนต์ตัวเดียวใส่ได้ในรถหลายๆ รุ่น นั่นก็คือ 2.0d ที่อยู่ในทั้ง ซีรีส์ 1,3,5 และเอ็กซ์ 3 เพราะนั่นทำให้บีเอ็มดับเบิลยูนำรถเข้ามาทำตลาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากทีมเซอร์วิส รู้จักเครื่องยนต์แค่ตัวเดียว ก็ให้บริการได้ถึง 4 รุ่นด้วยกัน

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่ง ซีแอลเค
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในช่วงครึ่งปีหลัง ดูจะค่อนข้างระมัดระวังการทำตลาดไม่น้อย มีเพียงการเปิดตัว ซีแอลซี เท่านั้น และก็ไม่ใช่ตลาดใหญ่นัก นอกจากนั้นก็มีเพียงการปรับโฉมเล็กๆน้อยๆ ให้กับ อี-คลาส และ บี-คลาส ในช่วงต้นปีนี้ แต่บรรยากาศโดยรวมก็ถือว่ายังค่อนข้างเงียบ

อย่างไรก็ตามปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีรถใหม่เข้ามาสร้างสีสันให้กับตลาดอีก 1 รุ่น นั่นก็คือหน้าตาของ อี-คลาส ใหม่ ในรูปแบบ คูเป้ ที่เริ่มต้นเผยโฉมในตลาดโลกแล้ว แต่คาดกันว่า ชื่อการค้าของมันจะไม่ใช่ อี-คลาส คูเป้ แต่นี่คือโฉมใหม่ของ ซีแอลเค ใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งในตลาดไปพอสมควร ด้วยรูปลักษณ์ที่ใหญ่ขึ้น หรูหราขึ้น และสปอร์ตมากขึ้นเช่นกัน

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังไม่ได้เปิดตัว อี-คลาส ใหม่ในไทย แต่อย่างใด แต่เลือกที่จะไปทุ่มตลาดรถเฉพาะกลุ่มก่อน แน่นอนส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสต็อกรุ่นเดิม

ส่วนอี-คลาส ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของค่ายดาวสามแฉกที่สร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า จะพร้อมทำตลาดภายในปีนี้ ช่วงที่เศรษฐกิจยังหดตัวอย่างต่อเนื่องหรือไม่

ออดี้ ฟื้นแบรนด์บุกไทย
ค่ายรถหรูจากเยอรมนีอีกค่าย หนึ่งที่เงียบหายจากตลาดไทยไปนาน และยังเป็นค่ายเดียวที่ดำเนินธุรกิจโดยกลุ่มทุนไทย ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการเคลื่อนไหวของรถชื่อดังระดับโลกจึงเชื่องช้าขนาด นี้

ปลายปีที่แล้ว ออดี้ เริ่มต้นกลับมาทำตลาดอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว เอ 4 ใหม่ ในระดับราคาที่น่าสนใจ เพราะถูกกว่ารุ่นเดิมถึง 4 แสนบาท เป็นการส่งสัญญาณว่าบริษัทแม่พร้อมให้การสนับสนุนการบุกตลาดอีกครั้ง

ปีนี้ ออดี้ ประกาศว่าจะทำตลาดรถครบไลน์ ทั้งรถยนต์นั่ง รถเอสยูวี รวมไปถึงรถซูเปอร์คาร์ ตัวเก่งอย่าง อาร์ 8 เครื่องยนต์ 420 แรงม้า

แน่ นอนว่าค่าตัวระดับที่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท คงไม่สร้างยอดขายได้มากนัก แต่จะเป็นการยกระดับและกู้ชื่อกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับรถที่ต้องการฟื้นฟูตลาด

แต่ในช่วง ที่เศรษฐกิจไม่ดีหลายคนอาจมองว่า ออดี้อาจจะทบทวนแผนการสนับสนุนตลาดหรือไม่ แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง ช่วงที่ตลาดตกต่ำทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งเป็นตลาดสำคัญ การเร่งสร้างตลาดใหม่ๆ ที่ใช้ต้นทุนไม่สูงนักก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะปฏิเสธอะไร

(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20090302/20773/จับชีพจร-3-รถหรูเยอรมันซุ่มทัพรถใหม่รุกตลาดเฉพาะกลุ่ม.html)

“นิปปอน สตีล” ไม่ถอดใจทิ้งแผนลงทุน ยันแค่ชะลอหลบพายุ - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News]

at 3:33 AM

ผอ.สถาบันเหล็กฯ โต้ข่าว “นิปปอน สตีล” ล้มแผนการลงทุนโรงถลุงเหล็กในไทย ยอมรับ สภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ การลงทุนในโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าสูง คงเป็นไปได้ยาก ผู้ลงทุนต้องชะลอ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรัด โดยรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเสียก่อน นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังมีกระแสข่าวว่า บริษัท นิปปอน สตีล แสดงท่าทีลังเลที่จะลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในประเทศไทย นั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่า บริษัท นิปปอน สตีล และ บริษัท เจเอฟอี สตีล ยังสนใจลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำอยู่...
Credit: Manager.co.th
(http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000023756)
“นิปปอน สตีล” ไม่ถอดใจทิ้งแผนลงทุน ยันแค่ชะลอหลบพายุ - ข่าวอุตสาหกรรม [Industrial News]
Credit: Manager.co.th
(http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000023756)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มีนาคม 2552 14:25 น.

ผอ.สถาบันเหล็กฯ โต้ข่าว “นิปปอน สตีล” ล้มแผนการลงทุนโรงถลุงเหล็กในไทย ยอมรับ สภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ การลงทุนในโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าสูง คงเป็นไปได้ยาก ผู้ลงทุนต้องชะลอ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรัด โดยรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเสียก่อน

นายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังมีกระแสข่าวว่า บริษัท นิปปอน สตีล แสดงท่าทีลังเลที่จะลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในประเทศไทย นั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่า บริษัท นิปปอน สตีล และ บริษัท เจเอฟอี สตีล ยังสนใจลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำอยู่

“คงต้องยอมรับว่า สภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ การลงทุนในโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าสูงคงเป็นไปได้ยาก ผู้ลงทุนต้องชะลอ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรัด โดยรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเสียก่อน”

ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า บริษัท นิปปอน สตีล ของญี่ปุ่นได้แสดงอาการลังเลในการลงทุนโครงการเหล็กต้นน้ำ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความต้องการใช้เหล็กน้อยลง ทำให้กำลังการ ผลิตที่มีอยู่ปัจจุบันพอเพียง จึงไม่จำเป็นต้องลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ขณะที่บริษัท เจเอฟอี สตีล ยังยืนยันที่จะลงทุนในโครงการเหล็กต้นน้ำในไทยต่อไป หากรัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุน และมีพื้นที่รองรับการลงทุนแล้ว

(http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000023756)
Home | Site Map | RSS Subscribe | Go to top