วันที่ 2009-11-05 19:18:40
(ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
SCB EIC ประเมินกรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุดจำนวน 76 โครงการส่งผลต่อเนื่องต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว แม้ว่าผลกระทบระยะสั้นอาจมีไม่มากนัก
กรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจำนวน 76 โครงการ เป็นปัญหาจากการที่กฎหมายเก่าตามไม่ทันรัฐธรรมนูญใหม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มาตรา 67 ได้กำหนดให้โครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ
โดยจะต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment หรือ EIA) การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน (Health Impact Assessment หรือ HIA) ต้องมีการรับฟังความเห็นประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย และต้องให้องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นประกอบก่อนจะมีการดำเนินโครงการได้
แต่ทว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2550 ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับมาตรา 67 อย่างครบถ้วน จึงมีโครงการลงทุนจำนวนหนึ่งได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินโครงการได้ โดยมีเพียงผลการศึกษา EIA ประกอบเท่านั้น
การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับโครงการในเขตมาบตาพุดจึงก่อให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความเปราะบาง ทั้งนี้ SCB EIC ได้จำแนกผลกระทบในกรณีนี้ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ผลกระทบจากโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกับโครงการที่ถูกระงับ และสุดท้ายเป็นผลกระทบจากความเสียหายของบรรยากาศการลงทุนโดยรวมซึ่งเป็นผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นระลอก (ripple effect) ในระยะยาวที่ยากแก่การประเมินและอาจส่งผลรุนแรง
โดยมีตัวอย่างของกรณีที่มีความอ่อนไหวในอดีตที่มีผลในระยะยาวต่างกัน เช่น เมื่อปี 2550 กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 นั้น ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากและส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงสั้น ๆ แต่ในที่สุดก็กลับมิได้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากนัก
ต่างกับอีกกรณีหนึ่งคือการปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายปี 2551 ที่ในวันเดียวกันนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้แสดงสัญญาณถึงการได้รับผลกระทบ ทว่าผลกระทบจากการปิดสนามบินยังมีอยู่ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน คือทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวทรุดตัวลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งนี้ ในกรณีของมาบตาพุดนั้น แม้ว่าจะยังไม่อาจคาดเดาผลสืบเนื่องที่จะเกิดขึ้นได้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด และการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่หวั่นไหวต่อคำสั่งที่ปรากฏออกมาในวันที่มีคำสั่งระงับ ก็ไม่อาจชี้ได้ว่าผลสืบเนื่องในอนาคตของกรณีนี้จะมีน้อย (ดังเช่นกรณี พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว) หรือมาก (ดังเช่นกรณีการปิดสนามบิน) อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนนี้ได้ส่งผลเสียต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวมแล้ว ซึ่งคงทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาวอย่างมาก
ในแง่ของผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น เนื่องจากทั้ง 76 โครงการ ยังมิได้มีการดำเนินงานเต็มรูปแบบ ดังนั้นผลผลิตของโครงการจึงยังไม่ถูกนับรวมในสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมของอุตสาหกรรมนั้นๆ แต่จากการประเมินของ SCB EIC เห็นว่าในจำนวน 76 โครงการนี้ มีเพียง 11 โครงการ (คิดเป็น 20% ของการลงทุนรวม) ที่น่าจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อ
เนื่องจากมีผล EIA ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ ส่วนอีก 65 โครงการมีโอกาสถูกสั่งระงับต่อ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 2.3 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้บางโครงการยังไม่มีผลการศึกษา EIA เลย ส่วนบางโครงการมีผลการศึกษา EIA แล้ว แต่เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ แต่เป็นช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายลูกมารองรับ
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นกังวลคือ ในอนาคตอาจมีการฟ้องร้องในลักษณะเดียวกันกับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งอื่น ๆ ด้วย ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบโดยตรงต่อ GDP ในระยะสั้นจะมีไม่มาก เนื่องจากอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกับ 65 โครงการนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ น้ำมัน ก๊าซ การกลั่น และโลหะ
ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้แม้จะมีมูลค่าเกือบ 7% ของ GDP แต่มีการจ้างงานเพียง 0.5% ของการจ้างงานรวม อีกทั้งยังมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบที่สูง ผลสุทธิที่จะเกิดกับเศรษฐกิจและบัญชีเดินสะพัดจึงมีกรอบที่จำกัด อย่างไรก็ดี ความสำคัญของอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ที่ความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พื้นฐาน และเหล็ก
SCB EIC เห็นว่าผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดในระยะยาวเกี่ยวกับความเชื่อมั่น การลงทุน และผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมเป็นประเด็นที่น่าจับตามองมากกว่าผลกระทบในระยะสั้น เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต้องอาศัยการลงทุนที่ต่อเนื่อง ในขณะที่ปัจจุบันนี้ก็นับว่าไทยมีปัญหาในเรื่องของการลงทุนอยู่แล้ว
เพราะนอกจากจะเติบโตช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ยังมีระดับการลงทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับในอดีตด้วย ซึ่งมูลค่าการลงทุนที่แท้จริงในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าระดับที่ถือว่าต่ำอยู่แล้วในปี 2536 ทั้งนี้ การดำเนินการในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับภาครัฐและกระบวนการทางกฎหมายว่าจะชัดเจน และอำนวยให้โครงการต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้มากน้อยเพียงใด
หมายเหตุ บทวิจัยนี้เป็นการหยิบยกแต่เพียงประเด็นทางเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์เพื่อหาผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม SCB EIC เชื่อว่าประเทศไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต้องมีความสมดุลระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมควบคู่กันไป (ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
(ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)
SCB EIC ประเมินกรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุดจำนวน 76 โครงการส่งผลต่อเนื่องต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว แม้ว่าผลกระทบระยะสั้นอาจมีไม่มากนัก
กรณีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐระงับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจำนวน 76 โครงการ เป็นปัญหาจากการที่กฎหมายเก่าตามไม่ทันรัฐธรรมนูญใหม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มาตรา 67 ได้กำหนดให้โครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ
โดยจะต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment หรือ EIA) การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน (Health Impact Assessment หรือ HIA) ต้องมีการรับฟังความเห็นประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย และต้องให้องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นประกอบก่อนจะมีการดำเนินโครงการได้
แต่ทว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2550 ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับมาตรา 67 อย่างครบถ้วน จึงมีโครงการลงทุนจำนวนหนึ่งได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินโครงการได้ โดยมีเพียงผลการศึกษา EIA ประกอบเท่านั้น
การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับโครงการในเขตมาบตาพุดจึงก่อให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่มีความเปราะบาง ทั้งนี้ SCB EIC ได้จำแนกผลกระทบในกรณีนี้ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ผลกระทบจากโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกับโครงการที่ถูกระงับ และสุดท้ายเป็นผลกระทบจากความเสียหายของบรรยากาศการลงทุนโดยรวมซึ่งเป็นผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นระลอก (ripple effect) ในระยะยาวที่ยากแก่การประเมินและอาจส่งผลรุนแรง
โดยมีตัวอย่างของกรณีที่มีความอ่อนไหวในอดีตที่มีผลในระยะยาวต่างกัน เช่น เมื่อปี 2550 กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 นั้น ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากและส่งผลต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงสั้น ๆ แต่ในที่สุดก็กลับมิได้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากนัก
ต่างกับอีกกรณีหนึ่งคือการปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายปี 2551 ที่ในวันเดียวกันนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้แสดงสัญญาณถึงการได้รับผลกระทบ ทว่าผลกระทบจากการปิดสนามบินยังมีอยู่ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน คือทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวทรุดตัวลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งนี้ ในกรณีของมาบตาพุดนั้น แม้ว่าจะยังไม่อาจคาดเดาผลสืบเนื่องที่จะเกิดขึ้นได้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด และการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่หวั่นไหวต่อคำสั่งที่ปรากฏออกมาในวันที่มีคำสั่งระงับ ก็ไม่อาจชี้ได้ว่าผลสืบเนื่องในอนาคตของกรณีนี้จะมีน้อย (ดังเช่นกรณี พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว) หรือมาก (ดังเช่นกรณีการปิดสนามบิน) อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนนี้ได้ส่งผลเสียต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวมแล้ว ซึ่งคงทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาวอย่างมาก
ในแง่ของผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น เนื่องจากทั้ง 76 โครงการ ยังมิได้มีการดำเนินงานเต็มรูปแบบ ดังนั้นผลผลิตของโครงการจึงยังไม่ถูกนับรวมในสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมของอุตสาหกรรมนั้นๆ แต่จากการประเมินของ SCB EIC เห็นว่าในจำนวน 76 โครงการนี้ มีเพียง 11 โครงการ (คิดเป็น 20% ของการลงทุนรวม) ที่น่าจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อ
เนื่องจากมีผล EIA ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ ส่วนอีก 65 โครงการมีโอกาสถูกสั่งระงับต่อ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 2.3 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้บางโครงการยังไม่มีผลการศึกษา EIA เลย ส่วนบางโครงการมีผลการศึกษา EIA แล้ว แต่เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ แต่เป็นช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายลูกมารองรับ
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นกังวลคือ ในอนาคตอาจมีการฟ้องร้องในลักษณะเดียวกันกับโครงการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งอื่น ๆ ด้วย ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบโดยตรงต่อ GDP ในระยะสั้นจะมีไม่มาก เนื่องจากอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงกับ 65 โครงการนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ น้ำมัน ก๊าซ การกลั่น และโลหะ
ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้แม้จะมีมูลค่าเกือบ 7% ของ GDP แต่มีการจ้างงานเพียง 0.5% ของการจ้างงานรวม อีกทั้งยังมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบที่สูง ผลสุทธิที่จะเกิดกับเศรษฐกิจและบัญชีเดินสะพัดจึงมีกรอบที่จำกัด อย่างไรก็ดี ความสำคัญของอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ที่ความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พื้นฐาน และเหล็ก
SCB EIC เห็นว่าผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดในระยะยาวเกี่ยวกับความเชื่อมั่น การลงทุน และผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมเป็นประเด็นที่น่าจับตามองมากกว่าผลกระทบในระยะสั้น เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยต้องอาศัยการลงทุนที่ต่อเนื่อง ในขณะที่ปัจจุบันนี้ก็นับว่าไทยมีปัญหาในเรื่องของการลงทุนอยู่แล้ว
เพราะนอกจากจะเติบโตช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ยังมีระดับการลงทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับในอดีตด้วย ซึ่งมูลค่าการลงทุนที่แท้จริงในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าระดับที่ถือว่าต่ำอยู่แล้วในปี 2536 ทั้งนี้ การดำเนินการในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับภาครัฐและกระบวนการทางกฎหมายว่าจะชัดเจน และอำนวยให้โครงการต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้มากน้อยเพียงใด
หมายเหตุ บทวิจัยนี้เป็นการหยิบยกแต่เพียงประเด็นทางเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์เพื่อหาผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม SCB EIC เชื่อว่าประเทศไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต้องมีความสมดุลระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมควบคู่กันไป (ข่าวอุตสาหกรรม Industrial News)